ถึงเวลานี้คงเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม จะไม่ต่อสัญญากับ ลิเวอร์พูล อย่างแน่นอน เพราะการเจรจาของทั้ง 2 ฝ่ายเดินทางมาถึงจุดซอยตัน ซึ่งเจ้าตัวอยากได้ค่าเหนื่อยที่เทียบเท่ากับสตาร์ของทีม เพราะรู้สึกว่าตัวเองมีบทบาทสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อีกทั้งอยากได้สัญญายาวสัก 3 ปี แต่ทางฝั่งของลิเวอร์พูล ไม่สามารถให้สัญญาในระยะยาวกับผู้เล่นที่อายุเกิน 30 ปี ได้ ทำให้จุดหมายปลายทางของกองกลางชาวดัตช์ น่าจะไปจบที่บาร์เซโลน่า ในซัมเมอร์ที่จะถึงนี้
ฉะนั้นในบทความนี้จะขอเอาใจเด็กหงส์ด้วยการพาไปย้อนรอย 5 ปี กับ 5 โมเมนต์ ที่เดอะค็อปจะนึกถึงไวจ์นัลดุม ว่าตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาอยู่ในแอนฟิลด์ จวบจนขวบปีสุดท้ายนี้ พี่ดุมของพวกเรามีอะไรที่เราต้องจดจำบ้าง
1. จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม คือนักเตะชุดแรกที่คล็อปป์ซื้อเข้ามา
ก้าวแรกของไวจ์นัลดุม กับลิเวอร์พูล เกิดขึ้นเมื่อซัมเมอร์ปี 2016 ซึ่งเยอร์เก้น คล็อปป์ จัดการสอยนักเตะใหม่มาร่วมทีมหลายราย โดยชื่อของกองกลางชาวดัตช์ถูกมองว่าจะมาเป็นอะไหล่สำรองเสียมากกว่า
ฤดูกาล 2015/16 จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม คือนักเตะใหม่ของนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ซึ่งเจ้าตัวได้โชว์ฟอร์มประดุจเทพกับตำแหน่งกองกลางตัวรุก แต่ก็มิอาจช่วยให้ทีมรอดพ้นจากการตกชั้น เพราะต้องยอมรับว่าเกรดนักเตะของสาลิกาดงในปีนั้นเป็นรองคู่แข่งค่อนข้างมาก อีกทั้งกว่าทีมจะลงตัวก็หลังจาก ราฟาเอล เบนนิเตซ เข้ามารับเผือกร้อนท้ายฤดูกาล
- แน่นอนว่าฝีเท้าระดับ ไวจ์นัลดุม ย่อมไม่เหมาะสมที่จะลงไปเล่นเดอะแชมเปียนชิปสุดท้ายนิวคาสเซิล จึงต้องจำยอมขาย และลิเวอร์พูล ก็คว้าตัวมาได้ในราคา 25 ล้านปอนด์ พร้อมกับรับเสื้อหมายเลข 5 ไปสวมใส่
- การย้ายมาของ ไวจ์นัลดุม เข้ามาพร้อมกับ ซาดิโอ มาเน่ และ โจเอล มาติป ที่ปัจจุบันยังลงเล่นร่วมกันอยู่ ส่วน ลอริส คาริอุส, รากนาร์ คลาวาน และ อเล็กซ์ แมนนิงเกอร์ ที่แม้จะย้ายเข้ามาพร้อมกัน แต่ก็ต้องเก็บกระเป๋าออกไปในเวลาอันรวดเร็ว
2. ไวจ์นัลดุม กับบทบาทที่ไม่ใช่กลางรุก
การมาของไวจ์นัลดุม ถูกมองว่าเป็นอะไหล่ เพราะหากดูตามตำแหน่งแล้วมันไปทับกับ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ที่กำลังโชว์ฟอร์มได้อย่างเด็ดดวงจนทีมไม่สามารถขาดดาวเตะชาวบราซิลผู้นี้ไปได้
การย้ายเข้ามาของ ไวจ์นัลดุม ถูกจับเป็นตัวสำรอง ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะใครต่อใครก็ทราบดีว่าเขายังเป็นรอง คูติซูเปอร์ หากเทียบกับตำแหน่งที่เขาเล่นให้กับนิวคาสเซิล
- เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้เปลี่ยนสไตล์การเล่นของ ไวจ์นัลดุม ใหม่ เพราะมองว่าศักยภาพที่แท้จริงของเจ้าตัวไม่ใช่กลางรุกที่อยู่หลังกองหน้า และการเล่นสไตล์เดิมมีความเสี่ยงที่จะไปไม่สุดในเส้นทางนักเตะอาชีพ นั่นจึงทำให้คล็อปป์พยายามสอนแนวทางแบบใหม่ เพื่อให้เข้ากับระบบทีม ก่อนที่ช่วงกลางฤดูกาลจะได้ลงเล่นแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย กับบทบาทกองกลางที่คอยรักษาสมดุลของเกม
- กองกลางที่คอยรักษาสมดุลของเกม เป็นอย่างไร? หากใครดูลิเวอร์พูลเป็นประจำ คล็อปป์จะใช้ผัง 4-3-3 และพี่ดุมจะเป็น 1 ใน 3 กองกลาง โดยเมื่อไรที่ทีมกำลังจะโต้กลับ พี่ดุมจะทำหน้าที่ในการเชื่อมบอลจากหลังสู่หน้าด้วยการใช้ความเร็วพาบอลขึ้นไป หรือเวลาที่แบ็คซ้ายและขวาเติมสูง พี่ดุมก็จะวิ่งไปปิดช่องไม่ให้คู่แข่งวางบอลสวนกลับง่ายๆ ซึ่งนี่คือหน้าที่หลักอันโดดเด่น แต่นอกเหนือจากนี้พี่ดุมก็ทำได้หมด เช่น ถอยไปรับ เติมเกมบุก ทำประตู ยกเว้นลงไปเซฟประตูที่เจ้าตัวไม่เคยทำ (หยอกๆ 555)
- การเล่นสไตล์ใหม่ของพี่ดุม มันดูราวกับว่าไม่ค่อยโดดเด่นและไม่มีประโยชน์กับทีมมากนัก แต่เมื่อไรที่ขาดไป แฟนบอลจะรู้สึกได้ว่าทีมขาดความสมดุล เสมือนกับกินยาแล้วไม่ดื่มน้ำตามยังไงอย่างงั้น
3. ไวจ์นัลดุม คือส่วนหนึ่งที่ทำให้ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ UCL
ส่วนสำคัญที่ทำให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ คือ ซาลาห์ และโอริกี ที่ยิงประตูในนัดชิง แล้วไวจ์นัลดุมมาเกี่ยวอะไร มั่วหรือเปล่า? ซึ่งถ้าคุณคือสาวกเดอะค็อปตัวจริง คุณจะไม่มีวันลืมกับ 45 นาทีนรกแตก ในเกม UCL รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 ซึ่ง ลิเวอร์พูล ชนะ บาร์เซโลน่า 4-0
- รอบรองชนะเลิศ ในศึกยูฟ่า แชมเปียนลีก ปี 2019 ลิเวอร์พูล จับสลากมาเจอกับโคตรทีมอย่าง บาร์เซโลน่า ซึ่งแน่นอนว่าชื่อชั้นและขุมกำลังดูเป็นรอง และการแข่งขันนัดแรกที่คัมป์นู เจ้าบุญทุ่มต้อนหงส์แดงไปขาดลอย 3-0 ทำให้สาวกเดอะค็อปต่างทำใจล่วงหน้าแล้ว เพราะการจะพลิกสถานการณ์กลับมามันยากเกินไปกับทีมระดับนี้
- “การเล่นที่อตาเติร์ก เรามีเวลาแค่ 45 นาที ยังกลับมาตีเสมอ 3-3 ได้ แต่รอบนี้เราได้เล่นที่แอนฟิลด์ ตั้ง 90 นาที ทำไมจะทำไม่ได้” นี่คือคำปลุกใจของสาวกเดอะค็อปที่ยังมีหวังว่าปาฏิหาริย์ ณ แอนฟิลด์จะช่วยนำพาทีมอีกครั้งในค่ำคืน
- เกมนัดที่ 2 เริ่มขึ้นและกลายเป็นลิเวอร์พูล ขึ้นนำก่อน แต่ก็ไม่สามารถยิงประตูเพิ่มได้ แถมยังเกือบโดนยิงตีเสมอ กระทั่งในครึ่งหลัง คล็อปป์ส่งไวจ์นัลดุมลงมา พร้อมกับทำ 2 ประตู ตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง จนสกอร์รวมเสมอกัน 3-3 และมายิงเพิ่มได้จากโอรีกี้ ทำให้ทีมพลิกกลับมาอย่างเหนือความคาดหมาย ก่อนจะเข้าไปชิงและได้แชมป์ในบั้นปลาย
4. ไวจ์นัลดุม คือนักเตะชั้นตำนาน ที่อยู่ร่วมคว้าแชมป์รายการสำคัญกับทีม
ดาวเตะชาวดัตช์ เข้ามาอยู่กับลิเวอร์พูลในยุคสร้างทีม จวบจนวันนี้ที่ทีมมีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมกับแชมป์ที่กกวาดมาได้อย่างมากมาย ซึ่งไม่เกินเลยที่จะกล่าวว่าพี่ดุมคือหนึ่งในนักเตะระดับตำนานของทีม
- ลิเวอร์พูล ห่างหายและไม่เคยได้สัมผัสถ้วยพรีเมียร์ลีกนานถึง 30 ปี ซึ่งนักเตะชุดแล้วชุดเล่าที่ผลัดเปลี่ยนเข้ามาก็มิอาจพาทีมไปสู่แชมป์ได้สักที จนกลายเป็นความผิดหวังที่ด้านชาไปแล้ว กระทั่งฤดูกาล 2019/20 ที่พลพรรคหงส์แดงนำจ่าฝูงแบบม้วนเดียวจบ โดยพี่ดุมได้ลงสนามเป็นประจำทุกนัด ถ้าไม่เจ็บและไม่ถูกแบน
- แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนสมัยที่ 6 ซึ่งเป็นการเถลิงบัลลังก์จ้าวยุโรปอีกครั้งในรอบ 15 ปี ก่อนจะต่อยอดด้วยแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และฟีฟ่าคลับ เวิลด์คัพ สมัยแรก โดยทั้งหมดนี้พี่ดุมได้ลงสนามทั้งหมด ทำให้เหรียญแชมป์ห้อยเต็มคอ จนหัวต้องมีเอียงกันไปบ้าง
5. ฤดูกาล 2020/21 คือปีสุดท้ายของไวจ์นัลดุม ในถิ่นแอนฟิลด์
ไวจ์นัลดุม คือที่รักของแฟนบอล เพราะเป็นนักเตะที่เล่นได้ดีและเป็นกำลังสำคัญของทีมมาตลอด ทำให้ใครต่อใครคงคิดว่าเจ้าตัวต้องอยู่กับลิเวอร์พูล ต่อไปอีกนานอย่างแน่นอน
- สัญญาของพี่ดุม ที่เคยเซ็นไว้ 5 ปี เมื่อซัมเมอร์ฤดูกาล 2016 จนกระทั่งฤดูกาล 2019 เหลือเพียง 18 เดือน ซึ่งเชื่อว่าใครต่อใครคงคิดว่าพี่ดุมคงเซ็นสัญญาต่อไปอีก แต่กลับกลายว่ายังตกลงกันไม่ได้
- พี่ดุม ต้องการสัญญายาว 3 ปี พร้อมกับค่าเหนื่อยราว 150,000-200,000 ปอนด์/สัปดาห์ ซึ่งฝั่งของลิเวอร์พูลให้ค่าเหนื่อยในเรตนี้ได้ แต่ระยะเวลาของสัญญาไม่สามารถให้ได้ เพราะอายุอานามพี่ดุมเข้าเลขหลัก 3 แล้ว ทำให้การเจรจาถึงทางตันในที่สุด
- การที่โรนัลด์ คูมัน เข้ามาคุมทีมบาร์ซ่า ทำให้พี่ดุมเองก็มีสนใจที่จะไปร่วมงานกับลูกพี่ใหญ่ เพราะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีในแคมป์ทีมชาติฮอลแลนด์
ถึงเวลานี้เชื่อว่าไม่มีสาวกเดอะค็อปคนไหนโกรธไวจ์นัลดุมได้ลงคอ เพราะเจ้าตัวเล่นได้อย่างเต็มที่และทุ่มเทมาตลอด อีกทั้งไม่เคยออกอาการงอแงกดดันทีมเหมือนกับนักเตะรายอื่นๆ ซึ่งการจากลาในครั้งนี้ทุกคนล้วนแต่มีเหตุผลของตัวเองโดยที่ไม่มีใครผิดและถูก อีกทั้งสาวกเดอะค็อปยังเข้าใจทั้ง 2 ฝ่ายเสียด้วยซ้ำ ทำให้นับจากนี้การเก็บความทรงจำดีๆ ร่วมกันคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด